วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การใช้งานอินเตอร์เน็ตถูกแบ่งออกเป็นยุคๆ ซึ่งตอนนี้เราก็ใกล้ที่จะก้าวเข้าสู่ อินเตอร์เน็ตยุคที่ 3 กันแล้ว หรือที่เราเรียกกันว่า Web 3.0 เชื่อว่าหลายๆ คนคงยังไม่รู้ว่า Web 3.0 นั้นมันคืออะไรกัน แล้วแล้วมันผ่าน Web 1.0 และ Web 2.0 มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าจะพูดถึง Web 1.0, 2.0, 3.0 หลายๆ คนคงจะคิดว่ามันเป็นเทคโนโลยีใหม่หรือเปล่า ? แต่ไม่ใช่เลยมันไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ พูดง่ายๆ คือมันไม่ใช่เทคโนโลยีอะไรเลย มันเป็นเพียงแค่หลักการในการนำเสนอข้อมูลหรือเนื้อหาออกมาเท่านั้นเอง (ใช้คำถูกเปล่า ?) เราลองมาดูว่าอินเตอร์เน็ตในแต่ละยุคนั้นมันมีหลักยังไง

Web 1.0 = Read Only, static data with simple markup
Web 2.0 = Read/Write, dynamic data through web services
Web 3.0 = Read/Write/Relate, data with structured metadata + managed identity

ในส่วนของเว็บ 1.0 และเว็บ 2.0 ผมคงจะไม่พูดถึง เพราะมันกำลังจะผ่านไป ถ้าใครยังไม่รู้ก็ลองถาม Google ดูครับ เรื่องของเรื่องคือวันนี้ผมมีวีดีโอ Web 3.0 มาให้ดูกันครับ แต่ทว่าจะดูไม่เรื่องเรื่องเลยถ้าเรายังไม่รู้ว่า Web 3.0 คืออะไร ? ซึ่งเว็บ 3.0 นี่แระที่ผมเชื่อว่ามันจะมาเปลี่ยนโลกอินเตอร์เน็ตให้น่าอยู่มากขึ้น น่าใช้งาน และมันจะทำให้ปัญหาหลายๆ ปัญหาหมดไป (หรือเปล่า) Web 3.0 ถูกคิดขึ้นบนพื้นฐานจากปริมาณของข้อมูลใน Web 2.0 ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว แต่การเพิ่มขึ้นของข้อมูลนั้นมันไม่ได้มีคุณภาพเอาซะเลย และจากเหตุผลนี้ทำให้เว็บต่างๆ ต้องมีระบบบริหารจัดการเว็บให้ดีขึ้น ง่ายขึ้น ด้วยรูปแบบ Metadata ซึ่งก็คือการนำข้อมูลมาบอกรายละเอียดของข้อมูลนั้นๆ นั่นเอง ซึ่งอาจจะเรียกว่า Tag ก็ได้ โดยระบบเว็บจะเป็นผู้จัดการในการค้นหาข้อมูลให้เราเอง จึงสามารถคาดการณ์ถึงข้อมูลได้ว่าจะมีการเชื่อมโยงกันอย่างมีระบบระเบียบมากขึ้น Web 3.0 ดูๆ ไปแล้วก็คงเป็นการพัฒนา แก้ไขปัญหาในระบบเว็บ 2.0 มากกว่าการสร้างบนพื้นฐานความรู้ใหม่ โดยเว็บ 3.0 นี้จะไปเน้นเรื่องการจัดการข้อมูลในเว็บมากขึ้น ดีขึ้น และทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเขัาถึงเนื้องหาของเว็บได้ดีขึ้นนั้นเอง

Web 3.0 มันมีอะไรบ้าง

Artificial Intelligence หรือ AI หลายๆ คนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว มันเป็นระบบสมองกล จะสามารถคาดเดาผู้ใช้งานได้ว่ากำลังค้นหา หรือคิดอะไรอยุ่
Semantic Web เป็นระบบที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ พยายามทำให้ภาษาทั้งหลายคุยกันได้เองหรือเข้าใจกันได้ ทั้งที่อยู่ในเว็บของผู้พัฒนาและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ให้มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งมันจะไม่สรุปให้ว่าข้อมูลไหนดีที่สุด แต่จะเอาสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาเทลงตรงหน้า จะทำให้ระบบฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่มากๆ หรืออาจทำให้เกิดฐานข้อมูลโลก
Composite Applications เป็นการผสมผสาน Application หรือโปรแกรม หรือบริการต่างๆ ของเว็บ ที่มาจากแหล่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งานนั้นเอง
Semantic Wiki เป็นการอธิบายคำๆ หนึ่ง คล้ายกับดิกชันนารีนั้นเองครับ ดังนั้นถ้า Web 3.0 เป็น Wiki ด้วยแล้วนั้น จะทำให้เราสามารถหา ความหมาย หรือข้อมูลต่างๆ ได้ละเอียด และแม่นยำมากขึ้น
Ontology Language หรือ OWL เป็นภาษาที่ใช้ในการอธิบายสิ่งต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์กัน โดยดูจากความหมายของสิ่งนั้นๆ ซึ่งก็จะเชื่อมโยงกับระบบ Metadata นั้นเอง


ที่มา : techcrunch.com และ computers.co.th

อ่านต่อที่นี่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น